อัลบั้มรีวิว... Nine Track Mind อัลบั้มที่ทำให้หลงรัก Charlie Puth
แอบเก็บอัลบั้มเต็ม Nine Track Mind และปล่อยให้แฟนๆ ต้องรอกันถึง 3 เดือนเลยทีเดียวกว่าที่สตูดิโออัลบั้มแรกในชีวิตของหนุ่ม Charlie Puth จะออกมาให้เราได้ฟังกัน นับจากซิงเกิลล่าสุดที่ปล่อยออกมาเมื่อวันที่ 20 เดือนสิงหาคม 2558 กับ One call away ซิงเกิลโปรโมทลำดับที่ 3 ที่ทำให้เรารู้จักแนวเพลงของ Charlie Puth มากขึ้น
Charlie Puth เปิดตัวให้เรารู้จักจากเพลง See You Again เพลงประกอบภาพยนตร์ Fast and Furious 7 ที่ได้แร๊พเปอร์ชื่อดัง Wiz Khalifa มาช่วยร้องแร๊พในเพลงนี้ ส่งผลให้ใครๆ ก็รู้จักเขามากขึ้น แต่ที่จริงแล้ว Charlie Puth ได้แจ้งเกิดจากการร้องเพลงลงบนเว็บไซต์ youtube มาก่อนหน้าแล้ว ด้วยความเป็นหนุ่มนักดนตรีจาก Berklee College of Music ทำให้ตัวเขาสามารถร้องเพลง เขียนเนื้อร้อง รวมถึงแต่งทำนองเพลงได้แบบเบ็ดเสร็จในคนเดียว และสำหรับอัลบั้ม Nine Track Mind ก็เช่นเดียวกัน ที่ Charlie Puth ได้วาดลวดลาย แสดงฝีมือทั้งการแต่งเนื้อร้องและทำนองลงในเพลงต่างๆ ที่บรรจุไว้ในอัลบั้มนี้แบบเต็มที่ ไปลองฟังกันว่า แต่ละเพลงที่ Charlie Puth ตั้งใจทำมาให้เราฟังนั้น จะเป็นอย่างไร
1. One Call Away
เพลงซึ้งๆ ที่ Charlie Puth เลือกมาเป็นแทร็คแรกในการเปิดอัลบั้มในครั้งนี้ เพลงที่แค่ได้ยินในครั้งแรก ก็รู้เลยว่า หากสาวๆ คนไหนที่ได้ฟังต้องรู้สึกอ่อนไหว และหลงรักผู้ชายคนนี้มากขึ้นกว่าเดิม ตัวเพลงทำได้ดีสมกับที่เป็น 1 ในเพลงโปรโมทของอัลบั้ม ส่วนทางด้านเนื้อเพลง ที่พูดถึงการที่เราได้ทำเพื่อคนที่เรารัก ผสมกับเสียงนุ่มๆ ของ Charlie ทำให้เราอยากเปิดเพลงนี้ซ้ำๆ คลอไปเบาๆ ตลอดทั้งคืน
2. Dangerously
เริ่มค่อยๆ เปลี่ยนบรรยากาศ กลับมาที่ความหนักแน่น ทั้งด้วยทำนองเพลง และเสียงของ Charlie ที่แสดงถึงความจริงจังมากขึ้น Dangerously เพลงที่ Charlie ลงมือเขียนทั้งเนื้อร้องและแต่งทำนองด้วยตัวเอง และแน่นอนว่า เมื่อเป็นเพลงของตัวเองเช่นนี้ ตัวเขาย่อมเข้าถึงอารมณ์ของเพลงได้อย่างแท้จริง ด้านเนื้อหาพูดถึงความรักที่ไม่สมหวังเท่าไหร่นัก และเชื่อเถอะว่าเพลงนี้ จะกลายเป็นอีกหนึ่งเพลงที่คุณอยากจะฟังเมื่อความรักไม่เป็นอย่างใจ
3. Marvin Gaye
อย่าบอกนะ ว่าไม่รู้จักเพลงนี้! Marvin Gaye เพลงลำดับที่ 3 ของอัลบั้มที่มีกลิ่นอายย้อนยุคเบาๆ ที่เปิดเพลงด้วยเสียงเปียโน พร้อมท่อนจำอย่าง “Let’s Marvin Gaye and get it on” และเมื่อฟังไปเรื่อยๆ เราจะได้ยินเสียงของ Meghan Trainor นักร้องสาวเพื่อนสนิทที่มาร่วมร้องด้วย เสียงผสานกันของทั้งคู่ ส่งผลให้เพลงนี้กลายเป็นเพลงรักที่ใครๆ ก็อยากฟัง
4. Losing My Mind
Charlie เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า เขาเขียนเพลงนี้เนื่องจากตอนนั้นเขาไม่รู้ว่าจะแต่งเพลงอะไรออกมาดี แต่ถึงแม้ไม่รู้ว่าจะเขียนอะไร เรากลับรู้สึกว่าเพลงนี้ เป็นเพลงที่สามารถใช้อธิบายสไตล์เพลงของ Charlie Puth ได้เป็นอย่างดี เสียงร้องของ Charlie ฟังดูผ่อนคลายลงจาก 3 เพลงก่อนหน้า ในขณะที่เขาใช้เทคนิคทางดนตรีมากขึ้น ทำให้เพลงนี้ต่างจากเพลงป๊อปทั้งหลายที่เราเคยฟังมา
5. We Don’t Talk Anymore
เพลงสไตล์ลาตินที่ได้สาว Selena Gomez มาร่วมร้องตั้งแต่กลางเพลง และด้วยสไตล์การร้องของ Charlie ที่ปรับมาเพื่อให้รับกับเสียงของ Selena ทำให้เพลงนี้สมบูรณ์แบบ ด้วยจังหวะของเพลงที่ดึงให้เราขยับตัว และทำให้เราอยากเคาะจังหวะตามเบาๆ คงไม่ต้องบรรยายสรรพคุณให้มาก เพราะชื่อเพลงก็บอกอยู่แล้ว We Don’t Talk Anymore เพราะแค่ได้ฟังก็เพียงพอแล้ว
6. My Gospel
ถ้าบอกว่าเพลงที่ผ่านมาทำให้เราอยากเคาะจังหวะตาม เพลงนี้ก็คงต้องบอกว่า เราอยากจะลุกขึ้นเต้นแล้วหล่ะ เพลงจังหวะสนุกๆ ที่ Charlie เลือกเอามาต่อกับเพลงที่แล้วได้อย่างลงตัว ส่งให้ผู้ฟังอยากเรายังคงมีอารมณ์สนุกๆ ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ My Gospel แทร็คลำดับที่ 6 ของอัลบั้ม Nine Track Mind ที่ถ้าจะบอกว่าเป็นเพลงที่สนุกที่สุดในอัลบั้มนี้ก็คงได้ เพลงที่ถ้าใครได้ยินก็อยากลุกขึ้นมาเต้นแน่นอน
7. Up All Night
ถือว่าเป็นความกล้าหาญของ Charlie ที่เลือกเอาเพลงนี้มาต่อกับเพลงจังหวะสนุกๆ อย่าง My Gospel เพราะเมื่อเปิด Up All Night ต่อมาจากแทร็คที่แล้ว เราเหมือนถูกดึงให้กลับมาตั้งใจฟังเพลงสไตล์ Charlie Puth แบบแท้จริง ก่อนที่ทั้งอัลบั้มจะกลายเป็นเพลงสไตล์อื่น Up All Night กลับช่วยให้เราระลึกได้ว่า แท้จริงแล้วอัลบั้ม Nine Track Mind ต้องมีสไตล์แบบนี้นี่แหละ
8. Left Right Left
ตัวเพลงยังได้อารมณ์ย้อนยุคอยู่เหมือนเดิม ซึ่งถ้าบอกว่า Up All Night คือเพลงที่ใช้บ่งบอกสไตล์เพลงในอัลบั้มนี้ ก็ต้องไม่ลืมพ่วงเพลง Left Right Left เข้าไปด้วยอีกเพลง ตัวเพลงเปิดขึ้นมา สามารถทำให้เรานึกถึงวง Jackson 5 ได้เบาๆ มีกลิ่นย้อนยุคนิดๆ และป๊อปๆ ตามสไตล์ของ Charlie แต่ถึงแม้เราจะบอกว่าย้อนยุคแต่ไม่ได้หมายความว่าเชย เพลง Left Right Left ของ Charlie นี้ ทำออกมาได้ร่วมสมัย น่าฟังเลยทีเดียว
9. Then There’s You
ถือเป็นเพลงที่ทันสมัยมากขึ้น เพราะเพลงนี้เราได้ยินเสียงสังเคราะห์มากกว่าเพลงที่ผ่านๆ มา ตัวเพลงมีความเป็นป๊อปและ R & B ที่ชัดเจน จังหวะเพลงสนุกๆ มีท่อนประสานเก๋ๆ ทำให้เพลงนี้ กลายเป็นเพลงจีบสาวที่เราเชื่อว่า ผู้หญิงคนไหนที่ได้ยินเพลงนี้ ต้องใจอ่อน
10. Suffer
ด้วยเสียงเปียโนที่ชัดเจนตั้งแต่ต้นเพลง ทำให้เราสามารถเข้าถึงอารมณ์ของเพลงได้อย่างดี ด้านเนื้อหาของเพลงที่พูดถึงการอยากพัฒนาความสัมพันธ์ให้มีมากขึ้นกว่าแค่ทางใจ ประกอบกับสไตล์การร้องของ Charlie ทำให้เพลงนี้เป็นเพลงที่อ้อนขอความรักได้เซ็กซี่ที่สุดในอัลบั้มนี้
11. As You Are
นอกจากนักร้องสาวๆ ที่มาร่วมแจมในอัลบั้มนี้ ก็มีนักร้องหนุ่มมาด้วยเหมือนกัน As You Are เพลงที่ Charlie Puth ได้ร้องคู่กับ Shy Carter ซึ่งในเพลงนี้นอกจากจะร้องด้วยกันแล้ว ยังแต่งเนื้อร้องด้วยกันอีกต่างหาก ตัวเพลงทำจังหวะออกมาให้ฟังสบายๆ ทำให้เรารู้สึกเหมือนเรานั่งอยู่ริมทะเล และมีหนุ่ม Charlie Puth มาร้องเพลงให้ฟังข้างๆ ตัว
12. Some Type of Love
ถือเป็นอีกเพลงที่ใช้คลุมโทนอัลบั้มนี้ได้อย่างดี ตัวเพลงเลือกใช้เสียงประสานมาทำให้เพลงนี้ดูอบอุ่น และเพลงนี้ยังมีจุดเด่นอยู่ที่เสียงร้องของ Charlie ที่สามารถถ่ายทอดอารมณ์ของเพลงออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ การดีไซน์การร้องทำได้ดี Charlie ไม่จำเป็นต้องร้องแบบพ่นไฟมากมาย แต่กลับเลือกใช้การส่งอารมณ์ผ่านทางการอิมโพรไวซ์มากกว่า ถือว่าเป็นเพลงที่ Charlie สามารถส่งอารมณ์ไปถึงคนฟังได้แบบเต็มที่เลยทีเดียว
13. See You Again
เพลงสุดท้ายที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ เพราะเป็นเพลงที่ส่งให้ Charlie Puth ดังเป็นพลุแตก See You Again เพลงโปรโมทที่ถูกใส่มาเป็นแทร็คสุดท้ายของอัลบั้ม แต่กลับทำให้อัลบั้ม Nine Track Mind ดูสมบูรณ์แบบมากขึ้นกว่าเดิม ด้วยทำนองเพลงที่บ่งบอกความเป็นสไตล์ของ Charlie Puth อยู่แล้ว ยิ่งได้มาประกอบกับการร้องแร็พของ Wiz Khalifa ยิ่งส่งผลให้อัลบั้มนี้ กลายเป็นอัลบั้มเพลงป๊อปร่วมสมัย ที่อยากเปิดฟังซ้ำไปซ้ำมา
เพลงแนะนำ : Losing My Mind, Up All Night และ Then There’s You
บทความที่คุณอาจสนใจ
วอร์นเนอร์ มิวสิค เปิดตัวเพลง Marvin Gaye ซิงเกิ้ลแรก Charlie Puth
Music Truelife อัพเดทข่าวสารวงการเพลงไทยและสากล
ข่าว Gossip พร้อม Scoop เจาะลึกในมุมมองที่น่าสนใจ
และติดตามพวกเราชาว Entertainment Truelife ได้ที่นี่